ผลลัพธ์งานวิจัยโดยโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีพบว่า อุณหภูมิสูงสามารถลดประสิทธิภาพและความปลอดภัยจากการรักษาด้วยยาได้
เมื่อร่างกายต้องเผชิญกับสภาวะที่มีความร้อนหรืออุณหภูมิสูง ย่อมส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้หลายทาง อาทิ ความเสี่ยงต่อการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดที่เพิ่มขึ้น โรคเพลียแดด (heat exhaustion) และอาจนำไปสู่โรคลมแดด (heat stroke) ซึ่งอาจทำให้เกิดความเจ็บป่วยเฉียบพลัน ภาวะสมองบาดเจ็บ และอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด นอกจากนั้นยังสามารถทำให้อาการของโรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังแย่ลง หรืออาจทำให้เกิดความเสียหายต่อไตเนื่องจากภาวะขาดน้ำ
ยาหรือเวชภัณฑ์ทุกชนิดก็อาจออกฤทธิ์หรือทำงานผิดปกติเมื่ออยู่ในสภาวะที่มีความร้อนหรืออุณหภูมิสูง เกินกว่าที่ระบุไว้ในเอกสารกำกับยาหรือเวชภัณฑ์นั้น ดังเช่นที่องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาแนะนำไว้ว่าระดับอุณหภูมิและปริมาณความชื้นที่สูงผิดปกติอาจทำให้อุปกรณ์เวชภัณฑ์ทำงานผิดปกติ อายุการใช้งานลดลงหรือทำให้อุปกรณ์เสียหาย มีผลทำให้สารสำหรับการทดสอบทางห้องปฏิบัติการเสียประสิทธิภาพ หรือส่งผลเสียต่อคุณสมบัติปลอดเชื้อ (sterility) ของบรรจุภัณฑ์ ทั้งนี้ องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา ยังแนะนำให้พิจารณาการจัดเก็บอุปกรณ์ด้วย เพื่อให้อุปกรณ์มีการทำงานที่เหมาะสม หลายชนิดต้องเก็บภายใต้สภาวะจำเพาะซึ่งมักมีการระบุไว้ที่บรรจุภัณฑ์
เมื่อ 2-3 ปีก่อน มีรายงานตีพิมพ์ในวารสาร British Medical Journal (BMJ) เกี่ยวกับเด็กวัย 11 ขวบซึ่งป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ที่ได้รับการรักษาด้วยการใช้อินซูลินปั๊ม (insulin pump) เกิดภาวะ diabetic ketoacidosis เนื่องจากอินซูลินปั๊มหยุดทำงานเพราะเผชิญกับสภาวะที่มีอุณหภูมิร้อนจัด เหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่นำมาสู่งานวิจัยชิ้นนี้
ผู้วิจัยได้รวบรวมและสรุปคุณสมบัติและข้อมูลจากเอกสารกำกับเวชภัณฑ์ในส่วนของรายละเอียดการเก็บรักษาซึ่งสอดคล้องกับสภาวะที่เหมาะสมต่อการเก็บรักษายา โดยยาทั่วไปที่ไม่ได้ระบุสภาวะการเก็บรักษาอย่างจำเพาะจะได้รับการทดสอบการเก็บรักษาในสภาวะที่มีอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส และความชื้นร้อยละ 75 สำหรับยาที่มีการระบุอุณหภูมิจำเพาะจะได้รับการทดสอบความคงตัวในระยะยาวที่อุณหภูมินั้น อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่ายาจะสูญเสียความคงตัวหรือคุณภาพในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูงกว่าที่ได้รับการทดสอบ หรือในสภาวะที่เกินข้อจำกัดในช่วงสั้น ๆ และยังพบว่า ยารูปแบบของแข็งชนิดรับประทานหลายรายการมีความคงตัวนานกว่า 2 ปีในภูมิอากาศเขตร้อน (tropical climates) เทียบเท่ากับความคงตัวของยาเหล่านั้นที่เก็บ ณ อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส
อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าความร้อนส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้หลายทาง ความเครียดเนื่องจากความร้อน (heat stress) ก็ส่งผลต่อผู้ป่วยเช่นกัน และอาจนำไปสู่ระยะล้มเหลวของโรคหรืออาการที่เป็นอยู่ อาทิ หัวใจล้มเหลว หรืออาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา อาทิ ภาวะ neuroleptic malignant syndrome ในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน นอกจากนั้น อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำซึ่งทำให้บางอวัยวะทำงานได้จำกัด เช่น การทำงานของไตบกพร่องส่งผลให้การขจัดยาออกจากร่างกายลดลง และต้องคำนึงถึงการปรับลดขนาดยา ผู้วิจัยมีการระบุขนาดยาขับปัสสาวะที่ควรพิจารณาในบางกรณี เพราะการได้รับยาขับปัสสาวะอาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดน้ำเช่นกัน ดังนั้น การรักษาด้วยยาขับปัสสาวะจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเสียชีวิตที่สัมพันธ์กับโรคลมแดด นอกจากยาขับปัสสาวะ ผู้วิจัยยังได้ระบุกลุ่มยาที่อาจรบกวนกลไกธำรงดุลของร่างกายเมื่อต้องอยู่ในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นไว้ ดังนี้
- ยากลุ่ม angiotensin converting enzyme (ACE) inhibitors และ angiotensin receptor blockers (ARBs) มีความสัมพันธ์กับความรู้สึกกระหายน้ำที่ลดลง ทว่ายังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับผลกระทบที่ตามมา
- ยากลุ่ม opioids, selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs), carbamazepine, anticholinergics และ tricyclic antidepressants อาจส่งผลเชิงลบต่อการควบคุมอุณหภูมิร่างกาย (central temperature regulation)
- สารที่มีฤทธิ์เป็น muscarinic antagonists อาทิ anticholinergics, tricyclic antidepressants และ H1 blockers ที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง และ antipsychotics อาจกระตุ้นภาวะขาดน้ำได้
- ยากลุ่ม sympathomimetic อาจมีผลต่อปริมาณเลือดที่ไหลเวียนไปยังบริเวณผิวหนังโดยควบคุมการหดตัวของหลอดเลือดบริเวณผิวหนัง
จากข้อมูลข้างต้น สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสารที่มีฤทธิ์เป็น anticholinergic หรือกลุ่มที่มีฤทธิ์กล่อมประสาท (sedative effect) จัดเป็นกลุ่มยาที่มีความเสี่ยงสูงที่อาจรบกวนกลไกธำรงดุลของร่างกายเมื่อต้องอยู่ในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น ถ้าจำเป็นต้องใช้ควรใช้ยาด้วยขนาดต่ำที่สุดที่เป็นไปได้
ความร้อนกับผลต่อเภสัชจลนศาสตร์
ความร้อนสามารถส่งผลต่อเภสัชจลนศาสตร์ผ่านหลายกลไก ซึ่งอาจส่งผลต่อปริมาณสารออกฤทธิ์ที่ผู้ป่วยได้รับ ตัวอย่างเช่น อุณหภูมิและการไหลเวียนเลือดที่เพิ่มขึ้นบริเวณผิวหนังสามารถเพิ่มความสามารถในการซึมเข้าสู่กระแสเลือดของยาที่ให้ผ่านผิวหนังหรือใต้ผิวหนังได้ อาทิ แผ่นแปะยากลุ่ม opioids
การไหลเวียนเลือดที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในสภาวะที่มีความร้อนจัดอาจลดปริมาณเลือดที่ไหลเวียนไปที่ไตและตับได้ถึง 1 ใน 3 โดยการไหลเวียนเลือดที่ตับส่งผลต่อชีวปริมาณออกฤทธิ์ (bioavailability) ของยาชนิดรับประทานที่มีสัดส่วนการสกัดยาที่ตับ (hepatic extraction rate) สูง อาทิ ยากลุ่ม tricyclic antidepressants หรือ beta blockers ตัวอย่างเช่น ระดับยา propranolol ในกระแสเลือดมีปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 67 เมื่ออยู่ภายใต้สภาวะที่ร้อนจัดและสัมพันธ์กับอัตราการเต้นของหัวใจที่ช้าลง
ผู้วิจัยจึงแนะนำว่า ควรดูแลและติดตามการรักษาผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากความเครียดเนื่องจากความร้อน โดยเฉพาะในช่วงที่มีปรากฏการณ์คลื่นความร้อน (heat wave) เพื่อติดตามความผิดปกติของการขจัดยา และพิจารณาหยุด ลดขนาด หรือพักการใช้ยาหรือเวชภัณฑ์นั้นเมื่อจำเป็น โดยเฉพาะกลุ่มยาที่มีผลรบกวนอุณหภูมิและการไหลเวียนของเลือด อาทิ first-line diuretics, anticholinergics หรือกลุ่มยาที่จำกัดการช่วยเหลือตัวเองของผู้ป่วย อาทิ sedatives, opioids
แหล่งอ้างอิง:
- Kron T. Extreme Temperatures Can Reduce the Efficacy of Drug Therapy [Internet]. 2022 [cited 2022 Aug 19]. Available from: https://www.medscape.com/viewarticle/979037. Subscription required to view.
- Medical Devices that Have Been Exposed to Heat and Humidity [Internet]. 2018 [cited 2022 Sep 30]. Available from: https://www.fda.gov/medical-devices/emergency-situations-medical-devices/medical-devices-have-been-exposed-heat-and-humidity.
- Office of climate change and health equity. Climate and Health Outlook: Extreme Heat. [Internet]. 2022 [cited 2022 Sep 30]. Available from: https://www.hhs.gov/sites/default/ files/climate-health-outlook-june-2022.pdf.